วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การอ่านคือรากฐานที่ดีของชีวิต





งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติทุกปี หนอนหนังสือทั้งที่เป็นตัวจริงและตัวปลอม (ชอบอ่านเพราะเหตุจูงใจอื่นๆ) พากันไปหาซื้อหนังสือ
หรือหาอ่านหนังสือฟรีกันในงานมากมาย
ยังไม่ทราบสถิติต่างๆ รวมถึงยอดขาย แต่ไปเยี่ยมงานสัปดาห์หนังสือครั้งใดๆ ก็จะอดคิดไม่ได้ว่า ที่เราได้ดิบได้ดีในวันนี้ ส่วนหนึ่ง (ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ทีเดียว)มาจากการอ่าน
ตอนเป็นเด็กอยู่ต่างจังหวัด ปิดภาคเรียนทุกปีจะรู้สึกอยากมางานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เป็นงานออกร้านในความใฝ่ฝันจริงๆ ค่ะ มีหนังสือให้เลือกซื้อมากมาย ในราคาพิเศษหรือมีของสมนาคุณ ยิ่งในสมัยนี้มีอุปกรณ์การเรียนรู้อื่นๆ มาจำหน่ายด้วย และยังมีโอกาสพบนักเขียนในดวงใจ มีโอกาสขอลายเซ็น งานสัปดาห์หนังสือจึงเป็นงานที่สนุก
การอ่านเพื่อเรียนรู้ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมากที่สุด มากกว่าการฟังแน่นอน แต่จะมากกว่าการดูหรือไม่ ไม่ทราบว่าจะวัดอย่างไร ส่วนตัวเห็นว่า แม้จะเรียนรู้จากการดูและฟัง แต่คนก็ยังอ่านอยู่ดี
การอ่านเพื่อจับใจ ความ เป็นการอ่านที่ทรงพลังที่สุด และได้ประโยชน์มากที่สุด เวลาเป็นของมีค่า หากเราสามารถจับใจความได้เร็วและแม่นยำ เราทำอะไรก็ได้เปรียบค่ะ เช่น ผู้ที่อ่านข้อสอบและตีโจทย์ได้เร็ว ก็มีโอกาสได้คะแนนสอบสูง ผู้ที่อ่านงานเพื่อหาข้อสรุป หรือหาข้อมูลเพื่อการแก้ไขปัญหาหรือการตัดสินใจได้ดีและเร็ว ก็จะมีความเจริญก้าวหน้ารวดเร็วด้วย
ทุกๆ วันดิฉันต้องอ่านหนังสือ เวลาไปเรียนหรือไปทำงาน ช่วงที่จะได้อ่านหนังสือมากที่สุดคือช่วงที่อยู่ในรถนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ชินกับการนั่งรอเฉยๆ หากต้องรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น รอพบแพทย์ รอพบผู้ใหญ่ รอขึ้นเครื่องบิน ดิฉันจะต้องอ่านหนังสือค่ะ
จนรู้สึกว่า ชีวิตนี้ ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือ คงไม่สนุกแน่นอน
สมัยนี้แม้ว่าการอ่านจะสามารถทำได้จากสื่อที่แตกต่างกัน เช่น อาจจะอ่านจากจออิเล็กทรอนิกส์ ประเภทแทบเล็ต โทรศัพท์มือถือ หรือ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ แต่ประโยชน์ของการอ่านก็ยังมีเหมือนเดิมคือ ให้ความรู้ เปิดมุมมองและทัศนคติใหม่ๆ รับทราบข้อมูลและแนวคิดของผู้อื่น
การอ่าน เป็นการช่วยฝึกจินตนาการที่ดีมาก จินตนาการนี้เองที่เป็นตัวทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ดูโทรทัศน์ หรือชมภาพยนตร์ เป็นการดูในสิ่งที่คนอื่นจินตนาการมาเรียบร้อยแล้ว จึงได้รับเนื้อหาสาระและเปิดโลกทัศน์ แต่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมจินตนาการมากนัก
บ้าน เราเป็นห่วงกันมาก ว่าคนสมัยนี้อ่านหนังสือกันน้อย ถ้าจำไม่ผิดเมื่อสองปีก่อนอ่านกันเฉลี่ยวันละ 8 บรรทัด ซึ่งสถิติในเรื่องเกี่ยวกับการอ่านของสหรัฐแล้ว จะเห็นว่าเขาก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน
ครอบครัวคนอเมริกันที่ไม่ได้ซื้อหนังสือเลยในปี 2555 มีสัดส่วนถึง 80% โดยมีถึง 70% ไม่ได้เข้าร้านหนังสือเลยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ท่าน เคยอ่านหนังสือไม่จบเล่มไหมคะ ดิฉันก็เคยค่ะ อาจจะเป็นเพราะเรายุ่ง ไม่มีเวลาที่จะอ่านต่อ หรือส่วนใหญ่หากอ่านไม่จบก็มักจะเกิดจากการที่หนังสือเล่มนั้นไม่สนุกเหมือน ดังที่คิดไว้ตอนซื้อ
สมัยเด็กๆ มีเงินไม่มาก จะใช้วิธียืมจากห้องสมุด และถ้าชอบเล่มไหนเป็นพิเศษ จึงค่อยไปหาซื้อมาเก็บไว้ ตอนหลังใช้บริการห้องสมุดเฉพาะการค้นคว้าจากหนังสือที่หาซื้อไม่ได้ แต่การอ่านเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลนั้น เราไม่ได้ตั้งใจจะอ่านให้จบอยู่แล้ว เราเจาะจงอ่านเฉพาะส่วนที่มีข้อมูลที่เราต้องการ จึงไม่นับว่าอ่านไม่จบเล่มนะคะ
ในสหรัฐ มีคนอ่านหนังสือไม่จบเล่มประมาณ 57% แสดงว่าที่อ่านจบเล่มมีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง!
ที่ น่าตกใจคือ ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย มีจำนวนถึง 42% ที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มอื่นๆ เลย ภายหลังจากที่เรียนจบมา มองในแง่ดีเขาอาจจะอ่านในรูปแบบอื่น เช่น อินเทอร์เน็ต แต่ไม่ได้อ่านเป็นเล่มๆ แต่ถ้ามองในแง่ร้าย แปลว่าเด็กอเมริกันรุ่นใหม่อาจจะไม่เก่งเท่ารุ่นเก่า หากเขาหยุดอ่าน
ไม่ต้องกลัวค่ะ ไม่ว่าจะอ่านในรูปแบบไหน ขอให้อ่านเถอะค่ะ มีประโยชน์ทั้งนั้น
วันนี้จึงอยากจะขอปิดท้ายด้วย คำคมเรื่องการอ่าน ค่ะ
พรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความหลงใหลในการอ่าน : อลิซเบธ ฮาร์ดวิค
The greatest gift is a passion for reading. : Elizabeth Hardwick
นักอ่านไม่ได้เป็นผู้นำทุกคน แต่ผู้นำทุกคนเป็นนักอ่าน : ประธานาธิบดีแฮรี่ เอส. ทรูแมน
Not all readers are leaders, but all leaders are readers. : Harry S. Truman
มีวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่จะเปิดโลกทัศน์ของลูกอยู่มากมาย (แต่)ความรักในหนังสือเป็นวิธีที่ดีที่สุด : แจคเกอลีน เคนเนดี้
There are many little ways to enlarge your childs world. Love of books is the best of all. : Jacqueline Kennedy
ให้ ผู้ชายหรือผู้หญิงที่อ่านหนังสือมาหลายพันเล่มกับฉันมาคนหนึ่ง เท่ากับให้มิตรที่น่าสนใจแก่ฉัน ให้คนที่อ่านหนังสือน้อย อาจจะเพียงสามเล่มกับฉัน เท่ากับให้ศัตรูที่เป็นอันตรายกับฉันเลยทีเดียว : แอนน์ ไรซ์ จาก The Witching Hour
Give me a man or woman who has read a thousand books and you give me an interesting companion. Give me a man or woman who has read perhaps three and you give me a dangerous enemy indeed. -Anne Rice, The Witching Hour
และขอจบด้วยปรัชญาของ ขงจื๊อที่ว่า ไม่ว่าจะคิดว่าตัวเองมีงานยุ่งเพียงใด จะต้องหาเวลาอ่านหนังสือให้ได้ มิฉะนั้นจะเท่ากับเลือกที่จะละเลยตัวเอง
No matter how busy you may think you are, you must find time for reading, or surrender yourself to self-chosen ignorance. : Confucius
 โดย วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/wiwan/20130408/499340/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น